ผมเป็นคนที่ชอบอะไรง่ายๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำให้มันง่ายเข้าไว้ เรื่องการเล่นหุ้นก็เหมือนกัน ดังนั้นแนวคิดในการลงทุนหุ้นให้มีความสุขทั้งในช่วงตลาดขาขึ้นหรือขาลงของผม จึงมีง่ายๆ แค่ 3 ข้อเท่านั้นครับ
และผมก็ใช้ 3 ข้อนี้ไปต่อยอดวางระบบการลงทุนให้เหมาะกับตัวเองอีกที ซึ่งจนเดี๋ยวนี้รูปแบบและระบบการลงทุนของผมก็ยังเป็นแนวๆ นี้อยู่ 🙂

บทความนี้มีอะไรบ้าง?
บริหารพอร์ตหุ้นด้วยแนวคิดการลงทุน 3 ข้อ
3 ข้อที่ว่าก็คือ
- เลือกหุ้นพื้นฐานดี ที่อยู่ในธุรกิจที่ดี และเป็นบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน
- รอ…แล้วซื้อเมื่อมีแต้มต่อเท่านั้น (ทางวิชาการหน่อยก็จะเรียกว่า ซื้อในราคาที่มี Margin of Safety) และซื้อเป็นจำนวนเงิน 70% ของพอร์ต
- ถือเงินสดไว้ 30% ของพอร์ตเสมอ เอาไว้เป็นเงินสำรอง
การเลือกหุ้นให้ดี(Stock Selection)เป็นสิ่งสำคัญ ข้อนี้ผมจึงถือว่าสำคัญที่สุด ให้ใช้เวลาในการเฟ้นหาให้มากหน่อย ไม่ต้องรีบร้อน ส่วนตัวแล้วผมจะเน้นไปที่หุ้นเติบโตและอยู่ในธุรกิจที่ยังเติบโตได้อีกมากในระยะยาว และมีขนาดใหญ่หน่อย เพราะเวลาฟื้นตัวบริษัทใหญ่มักจะฟื้นได้เร็วกว่า และมักจะกลับมาได้เสมอหลังเจอวิกฤตหนักๆ เลือกที่ดีๆ มาสัก 4-5 ตัว กระจายกันไปอย่าให้กระจุกอยู่ในตลาดหรืออุตสาหกรรมเดียวกัน
ดูตัวที่ ROE สูงหน่อย ที่ 15% ขึ้นไป เงินกู้น้อย และผู้บริหารต้องเชื่อใจได้
แต่บางทีต่อราคาเกินไปก็มักจะตกรถ ไม่ได้ของ ดังนั้นสามารถเข้าเก็บในราคาที่พอดีๆ ในราคาที่เราไม่เสียเปรียมผู้เล่นรายอื่นมากเกินไปก็ถือว่าพอได้ครับ
เงินส่วนนี้จะเอาไว้ใช้ในช่วงวิกฤต เพราะช่วงนั้นถือเป็นโอกาสของคนมีเงินสด เอาไว้ซื้อหุ้นดีๆ ลงทุนเพิ่มในราคาที่ถูกแบบลดกระหน่ำ
ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นก็ Happy
ตลาดหุ้นขึ้นแน่นอนว่าเราต้องมีความสุขแน่ๆ อยู่แล้ว เพราะพอร์ตเราโตขึ้นเนื่องจากเราได้ถือหุ้นดีๆ เอาไว้ด้วยสัดส่วนที่เป็นจำนวนเงินถึง 70% ของพอร์ต
ซึ่งหุ้นดีมีอนาคตยังไงมันก็ขึ้นอยู่แล้วในช่วงตลาดขาขึ้น อย่าว่าแต่หุ้นดีเลย หุ้นเน่าๆ หรือหุ้นสปีดเต่าบางตัวที่ไม่เคยขยับกับเขาซักที่พอเข้าสู้ตลาดกระทิงเท่านั้นแหละบินกันกระจาย เหมือนที่เหล่าเซียนหุ้นมักจะพูดเสมอๆ ว่า “ยามเมื่อลมพัดแรง แม้แต่ไก่งวงก็บินได้”
แต่ยังไง แนะนำว่ามือใหม่อย่าเข้าไปยุ่งกับ หุ้นเน่า หุ้นปั่น หุ้นที่เราประเมินอนาคตมันไม่ออก อย่าไปยุ่งกับหุ้นพวกนี้เด็ดขาด แม้ว่าจะในตลาดช่วงขาขึ้นก็ตาม ให้มั่นคงในรูปแบบการลงทุนของตัวเองไว้ อย่าไขว้เข้ว
ตลาดหุ้นเป็นขาลงก็ Happy
ช่วงตลาดหมีเราก็ยังมีความสุขได้ เพราะเรามีเงินซื้อเพิ่ม และอย่าลืมว่าเราได้เลือกถือหุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งไว้แล้ว และบริษัทแบบนี้มักจะกลับมาได้เสมอเมื่อเศรษฐกิจกลับมาดีอีกครั้ง
แน่นอนว่าตลาดหมีทุกคนในตลาดกระทบหมด อยู่ที่ใครจะบริหารจัดการให้เสียหายน้อยกว่ากัน ที่สำคัญอย่าลืมว่าเรามีเงินสดสำรองไว้อีก 30% ของพอร์ต ไว้สำหรับชอปปิ้งหุ้นดีในราคาในราคาลดกระหน่ำ ในแบบที่คนที่ถือหุ้นเต็ม 100% ตลอดเวลาได้แต่มองตาปริบๆ 🙂
ของดีราคาถูกมันมีไม่บ่อย แล้วก็หาไม่ได้ง่ายๆ เจอเมื่อไหร่ต้องรีบคว้าเอาไว้ และโอกาสแบบนี้มักจะมีมาในช่วงตลาดหมี
เหมือนที่ท่านเซอร์จอห์น เทมเปิลตันนักลงทุนระดับตำนานได้เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะยาวจริงๆ คุณจะมองตลาดหมีว่าเป็นโอกาสทำเงิน”
ข้อดีข้อเสียของการบริหารพอร์ตหุ้นแบบนี้
ทุกวิธีการย่อมมีจุดอ่อนและข้อดีข้อเสียเป็นธรรมดา เราลองมาสรุปดูดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
ข้อดี
- มีความสุขเสมอ ไม่เครียด แม้ว่าสภาพตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร
- สามารถมีเงินไว้ชื้อหุ้นดีๆ ได้ในราคาลดกระหน่ำ
ข้อเสีย
- เสียโอกาสในตลาดขาขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ลงทุนหุ้นแบบเต็ม 100% ตลอดเวลา
- การกำเงินสดในมือ 30% แล้ว รอ รอ แล้วก็รอ อย่างอดทน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ 🙂 เราส่วนใหญ่มักจะทนไม่ไหวเอาเงินไปซื้อหุ้นทันที
ไม่มีวิธีไหนดีที่สุด แต่ให้เลือกวิธีที่สามารถสร้างความมั่งคั่งให้เราได้ในระยะยาว และที่สำคัญต้องเป็นระบบที่เราลงทุนแล้วสบายใจ มีความสุขนะครับ
ท้ายนี้ขอย้ำอีกครั้งว่า การวางระบบหรือวางแผนการลงทุนนั้น ควรวางให้ดีว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เราจะทำยังไง เกิดแบบนั้นจะทำยังไง วางไว้ให้ครอบคลุมไว้ก่อนเลยนะครับ อาจจะเสียเวลาในการวางแผนซะหน่อยแต่รับรองว่าระยะยาวดีกว่ามาแบบกะวัดดวงเอาอย่างเดียวแน่นอน
ในหนึ่งรอบวัฏจักรของตลาดหมีและกระทิง มักจะมี “กลุ่มคนที่รวยขึ้นมหาศาล” และ “กลุ่มคนที่ขาดทุนจนแทบหมดตัว” มีให้เห็นอยู่เสมอ อยู่ที่ว่าท่านจะเลือกเป็นคนกลุ่มไหน?
Leave a Reply